น้ำหอม คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทาบนผิวหนังเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ประกอบไปด้วยส่วนผสมหลัก 3 ประการ ดังนี้
- น้ำมันหอมระเหย หรือ สารประกอบให้กลิ่น: เป็นสารที่ให้กลิ่นหอมแก่ตัวน้ำหอม โดยสกัดมาจากพืช สัตว์ หรือสังเคราะห์ขึ้นมา
- สารฟิกเซทีฟ: ทำหน้าที่ยึดเกาะกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยให้อยู่ได้นานขึ้น
- ตัวทำละลาย: ส่วนใหญ่ใช้น้ำมันเอทิลแอลกอฮอล์ ทำหน้าที่ละลายน้ำมันหอมระเหยและสารฟิกเซทีฟ
น้ำหอมมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหย ดังนี้
- Eau de Cologne (EDC): มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหยประมาณ 2-4% กลิ่นหอมจะบางเบาและอยู่ได้ไม่นาน เหมาะสำหรับใช้เวลากลางวัน
- Eau de Toilette (EDT): มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหยประมาณ 4-8% กลิ่นหอมจะชัดเจนกว่า EDC และอยู่ได้นานกว่า เหมาะสำหรับใช้เวลากลางวันหรือกลางคืน
- Eau de Parfum (EDP): มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหยประมาณ 8-15% กลิ่นหอมจะเข้มข้นและอยู่ได้นาน เหมาะสำหรับใช้เวลากลางคืน
- Parfum (Extrait de Parfum): มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหยมากกว่า 15% กลิ่นหอมจะเข้มข้นที่สุดและอยู่ได้นานที่สุด เหมาะสำหรับใช้ในโอกาสพิเศษ
นอกจากนี้ ยังมีน้ำหอมประเภทอื่นๆ อีก เช่น Body Spray, Cologne และ Mist
โน้ตน้ำหอม
น้ำหอมแต่ละชนิดจะมีกลิ่นที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและอัตราส่วนของน้ำมันหอมระเหยที่ใช้ โดยโน้ตน้ำหอมจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
- Top Note: เป็นกลิ่นแรกที่สัมผัสได้เมื่อฉีดน้ำหอม กลิ่นจะบางเบาและระเหยเร็ว มักเป็นกลิ่นจาก Citrus, Fruit หรือ Herbs
- Middle Note: เป็นกลิ่นหลักของน้ำหอม กลิ่นจะชัดเจนและอยู่ได้นานกว่า Top Note มักเป็นกลิ่นจาก Floral, Woody หรือ Spicy
- Base Note: เป็นกลิ่นที่ปรากฏขึ้นหลังจากฉีดน้ำหอมไปแล้ว 30 นาที กลิ่นจะเข้มข้นและอบอุ่น มักเป็นกลิ่นจาก Vanilla, Amber หรือ Musk
การเลือกน้ำหอม
การเลือกน้ำหอมควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- บุคลิก: น้ำหอมแต่ละกลิ่นจะสื่อถึงบุคลิกที่แตกต่างกัน ควรเลือกกลิ่นที่เหมาะกับบุคลิกของตัวเอง
- โอกาส: น้ำหอมบางกลิ่นเหมาะสำหรับใช้เวลากลางวัน บางกลิ่นเหมาะสำหรับใช้เวลากลางคืน ควรเลือกกลิ่นที่เหมาะกับโอกาสที่จะใช้
- ฤดูกาล: น้ำหอมบางกลิ่นเหมาะสำหรับใช้ในฤดูร้อน บางกลิ่นเหมาะสำหรับใช้ในฤดูหนาว ควรเลือกกลิ่นที่เหมาะกับสภาพอากาศ
- ความชอบส่วนตัว: สิ่งสำคัญที่สุดคือควรเลือกกลิ่นที่ตัวเองชอบ
แหล่งที่มา